30,161อ่าน
ผู้เขียน: admin
นักจิตวิทยาชี้จุด คนประเภทนี้มีแนวโน้มนอกใจมากสุด สังเกตง่าย ๆ ตอนกินข้าวด้วยกัน
นักจิตวิทยาเผยประเด็นเกี่ยวกับคนนอกใจ ชี้คนประเภทไหนที่มีแนวโน้มนอกใจมากสุด เผยทริกที่สังเกตได้ตอนกินข้าวด้วยกัน
ความสัมพันธ์แบบคนรักควรเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน เมื่อที่มีบุคคลที่สามปัญหาย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นหลายคนจึงรับไม่ได้กับคนที่มีพฤติกรรมนอกใจและพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ทว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนแบบไหนที่จะมีแนวโน้มนอกใจได้ ?
วันที่ 12 มกราคม 2568 เว็บไซต์ Sin Chew เผยเรื่องราวน่าสนใจจากนักจิตวิทยารายหนึ่งในไต้หวัน เมื่อเขาได้ระบุถึง “คนประเภทหนึ่ง” ที่มีแนวโน้มจะนอกใจมากที่สุด โดยสามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมในระหว่างที่ไปกินข้าวด้วยกัน และเรื่องราวนี้ได้กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันบนโซเชียลมีเดีย
ทำไมถึงนอกใจ
อวี้ เจี่ยหรง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต และผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา ในกรุงไทเป ของไต้หวัน ได้แชร์คลิปวิดีโอเผยประเด็นเกี่ยวกับคนนอกใจ กล่าวว่า ในความสัมพันธ์หนึ่ง หากมีการนอกใจครั้งแรก โดยทั่วไปจะมีการนอกใจครั้งที่สองตามมา เมื่อคนสองคนเกิดปัญหาระหว่างกันและยังไม่ได้รับการแก้ไข ความต้องการภายในก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มสูงมากที่จะมีการนอกใจเกิดขึ้นต่อ จนกว่าพบใครสักคนที่สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้
คนแบบไหนที่จะนอกใจ
เจี่ยหรงชี้ว่า “คนที่เคยชินกับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง มักจะมองหาความสัมพันธ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง” ซึ่งสิ่งนี้สามารถสังเกตได้จากการรับประทานอาหารร่วมกัน
ยกตัวอย่างเช่น ในระหว่างที่ไปกินอาหารที่ร้านด้วยกัน เมื่อคุณรู้ว่าพนักงานเสิร์ฟอาหารผิดเมนู คุณจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ หรือคิดว่า “ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร” หากคุณเป็นประเภทหลัง มีแนวโน้มว่าคุณเคยชินกับการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
แล้วคนที่ชอบหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทำไมถึงมีแนวโน้มที่จะนอกใจ ?
เจี่ยหรงอธิบายว่า เมื่อพบว่าคนรักทำบางอย่างที่แตกต่างจากที่คาดหวัง หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการในความสัมพันธ์ได้ คนที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งอาจคิดว่า “ไม่เป็นไร” ในตอนแรก ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะเริ่มมองหาสิ่งนั้นจากที่อื่น และในที่สุดพวกเขาก็จะนอกใจไปโดยปริยาย
นอกใจโดยไม่ได้ตั้งใจ ?
เจี่ยหรงยังเปิดเผยอีกว่า ในกระบวนที่มีผู้มาเข้ารับการปรึกษาทางจิตวิทยา เธอได้เจอกรณีการนอกใจจำนวนไม่น้อย และทำให้ได้พบว่า คนที่นอกใจนั้นรู้ว่าบุคคลที่สามสามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาได้ แต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักหรือยอมรับมัน
ดังนั้นเธอจึงอยากฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า “เป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรจะต้องรู้ความต้องการที่แท้จริงและสิ่งที่คุณรู้สึก อย่าหลอกตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ตามมาอาจจะกลายเป็นปัญหาอย่างที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้”
ขอบคุณข้อมูลจาก Sin Chew Daily
หยุดปีใหม่ 9 วัน กลับมาเห็นที่ทำงานราบรื่น หารู้ไม่กำลังจะตกตงาน เผยเหตุคนไม่เห็นใจ
พนักงานหยุดปีใหม่ 9 วัน กลับมาเห็นบริษัทราบรื่น หารู้ไม่ว่าทำเพื่อนจะตกงานหลายคน เผยเหตุสุดเดือด ผลกรรมไม่ได้ตกแค่ตัวเอง
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
หลายคนมักใช้โอกาสช่วงเทศกาลวันสำคัญหยุดยาวต่อเนื่อง เพื่อที่จะไปเที่ยวพักผ่อนอย่างเต็มที่ เหมือนกับเป็นการได้ชาร์จพลัง ก่อนที่จะกลับมาลุยงานใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับพนักงานรายหนึ่งซึ่งถือโอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หยุดงานยาวเป็นเวลา 9 วัน แต่เมื่อกลับมากลับต้องเจอชะตากรรมที่ไม่คาดคิด…
วันที่ 12 มกราคม 2568 เว็บไซต์ CTWANT เผยว่า มีผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์แชร์เรื่องราวผ่านทาง Dcard ชุมชนออนไลน์ของไต้หวัน เผยว่า เพื่อนร่วมงานหญิงของเขาคนหนึ่งไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงสิ้นปี เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา จากนั้นก็ลาหยุดงานต่อเนื่องเป็นเวลา 9 วันติดต่อกัน แต่ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมานั่นก็คือ เธอคนนี้ไม่ได้ส่งมอบงานที่ค้างใด ๆ ให้กับคนอื่นก่อนที่จะหยุด
ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้สถานการณ์ของบริษัทตกอยู่ในความวุ่นวายนานถึง 3 วัน
ทางหัวหน้าจึงได้เข้ามาเร่งจัดสรรงานใหม่ให้กับพนักงานคนอื่น ๆ
เพื่อให้งานสามารถบรรลุเป้าหมายได้ทันตามกำหนด
จนในที่สุดสถานการณ์ก็กลับสู่ภาวะปกติ ในวันต่อ ๆ
มางานของบริษัทก็ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
จนกระทั่งถึงวันที่เพื่อนร่วมงานหญิงรายนี้เดินทางกลับมาทำงานที่บริษัท
เธอเห็นว่าสถานการณ์ปกติจึงเข้าใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น
เมื่อทางเจ้านายกำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงความจำเป็นในการมีอยู่ของเธอ
รวมไปถึงพนักงานคนอื่นก็พลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย
“ดูเหมือนไม่สำคัญแล้วว่าบริษัทจะมีเพื่อนร่วมงานคนนี้หรือไม่
เพราะงานก็ดำเนินต่อไปได้ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ทำให้เจ้านายตระหนักว่า สามารถลดจำนวนพนักงานได้”
หลังจากได้รับรู้สถานการณ์ความเป็นไปในบริษัท
ทางพนักงานหญิงรายนี้ก็เริ่มรับรู้ถึงวิกฤตครั้งใหญ่
รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานในแผนกอื่นก็เป็นกังวลเช่นกัน
แม้กระทั่งแผนกธุรการก็ยังกลัวว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้พวกเขาบางคนต้องถูกเลิกจ้างไปด้วย
ทันทีที่เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรง
ชาวเน็ตต่างพากันเข้าไปแสดงความคิดไม่พอใจพนักงานหญิงรายดังกล่าว
ชี้ว่าเป็นเพราะ “การขาดความรับผิดชอบ” ของเธอคนเดียว เป็นต้นเหตุให้คนอื่นหลายคนต้องเดือดร้อน ทั้งต้องมาทำงานแทน แถมอาจจะซวยตกงานไปด้วย
“ลางานยาวโดยที่ไม่ส่งมอบงานให้คนอื่น นี่มันปิศาจชัด ๆ”
“ขาดความรับผิดชอบมาก เธอสมควรได้รับผลกรรมคนเดียว”
“สงสารเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ต้องมาพลอยซวยไปด้วย”
“หยุดงานแบบที่ทำให้เพื่อนเกลียดทั้งบริษัท”
ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT
ย่าเก็บสมุนไพรข้างทาง ต้มยาสูตรโบราณให้หลาน อาการโคม่าเข้าไอซียู แม่ใจสลาย
อุทาหรณ์ ย่าเก็บสมุนไพรข้างทาง ต้มยาสูตรโบราณให้หลานวัย 9 ขวบกิน 3 วันอาการโคม่าเข้าไอซียู แม่ใจสลายแต่ไม่โกรธ
คนแก่มักจะเชื่อวิธีการรักษาแบบพื้นบ้านโบราณ ซึ่งในสมัยนั้นอาจจะได้ผล แต่บางอย่างก็พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้วว่าอาจเป็นอันตรายทำให้อาการแย่ลงจนถึงแก่ชีวิตได้ แต่แน่นอนว่าบางคนก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ง่าย ๆ จนกว่าจะเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดขึ้น
วันที่ 12 มกราคม 2568 เว็บไซต์ CTWANT เผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เด็กชายวัย 9 ขวบรายหนึ่ง อาศัยอยู่กับพ่อและย่า ซึ่งเขาป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก ย่าของเขารู้สึกสงสารหลานที่ต้องทรมานด้วยอาการนี้ วันหนึ่งย่าของเขาไปได้ยินว่ามีวิธีแบบโบราณโดยใช้พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งชื่อว่า ชังเอ๋อร์จื่อ (Xanthium sibiricum) จะช่วยให้รักษาโรคนี้ได้
ย่าของเด็กชายจึงไปเก็บพืชชนิดนี้มาจากข้างทางกลับมาบ้าน จากนั้นก็ปอกแล้วนำเมล็ดของมันไปต้มทำเป็นยา ก่อนที่จะนำมันให้หลานชายดื่มเป็นเวลา 2 วันติด รวมทั้งตัวเธอเองก็ดื่มด้วย กระทั่งในวันที่ 3 ย่าสังเกตว่าหลานมีอาการผิดปกติ จึงไม่ได้ให้ดื่ม ทว่าในวันถัดมา อยู่ ๆ เด็กชายก็เกิดอาการชักรุนแรงและหมดสติ ทางครอบครัวรีบพาไปส่งโรงพยาบาล เด็กชายอยู่ในอาการโคม่าต้องรักษาในแผนกฉุกเฉิน และแพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิต
ต่อมา เด็กชายได้สติขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ แต่เขามีอาการอ่อนเพลียอย่างมาก รวมถึงเวียนหัว และคลื่นไส้ จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มโคม่าอีกครั้ง และครั้งนี้อาการของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ แพทย์ยืนยันว่า ร่างกายของเขาได้รับพิษจากพืชที่ครอบครัวของเขาต้มให้ดื่ม จนส่งผลภาวะอวัยวะภายในหลายส่วนล้มเหลว และตับวายเฉียบพลัน จำเป็นต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อรักษา แต่อาการป่วยของเขารุนแรงมากระดับวิกฤต และมีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
หลังจากแม่ของเด็กทราบเรื่องก็ตกใจและเสียใจมาก เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นเผยว่า “เขาอาจเกิดภาวะสมองตาย หรือเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ อวัยวะทั้งหมดของเขาล้มเหลว ตอนนี้ลูกชายของฉันต้องพึ่งเครื่องมือและยาเพื่อประทังชีวิต” ส่วนย่าของเด็กชายก็มีอาการป่วยจากการได้รับพิษและต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเช่นกัน แต่อาการของเธอไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต
หลังจากเรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ย่าของเด็กชายถูกตำหนิต่อว่าอย่างไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ทางแม่ของเด็กชายไม่ถือโทษโกรธแม่ของสามี พร้อมทั้งขอให้ทุกคนหยุดด่า โดยกล่าวว่า “ย่าของเด็กทำสิ่งที่เลวร้าย แต่ด้วยความตั้งใจที่ดี ฉันจึงไม่โกรธเธอ และทุกคนควรหยุดทำร้ายเธอได้แล้ว เธอแก่แล้ว”
ตามรายงานเผยว่า พ่อแม่ของเด็กชายหย่าร้างกันมาเป็นเวลานานแล้ว และเขาอาศัยอยู่กับพ่อและยายของเขา ส่วนแม่ของเขาไปมีครอบครัวใหม่ แต่หลังจากเกิดเรื่องร้ายกับลูกชายของเธอ เธอก็ต้องการทำทุกวิธีอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตลูกของเธอ
สำหรับเมล็ดชังเอ๋อร์จื่อ ข้อมูลระบุว่าเป็นยาแผนจีนทั่วไป มีฤทธิ์ในการไล่ลมและความเย็น ทำให้จมูกโล่ง และขจัดความชื้นได้ แต่มีสารพิษในธรรมชาติที่ชื่อว่าอะแทรคทิโลไซด์ (Atractyloside) จำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปและกำจัดสารพิษออกก่อน นอกจากนี้ปริมาณที่สามารถใช้ได้ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT
ไวรัล TikTok จับสลากของขวัญ ที่กลายเป็นไวรัล คนหลุดโฟกัสของที่ตกพื้น
จับสลากของขวัญที่กลายเป็นไวรัล เมื่อเปิดออกมาเป็นเสื้อบอลแมนยู แต่คนหลุดโฟกัสของที่ตกอยู่ ซ้ำยังเป็นของเพื่อนสนิทที่ไปซื้อด้วยกันอีกต่างหาก
วันที่ 11 มกราคม 2568 TikTok @506pkc8 มีการลงคลิปการจับสลากของขวัญปีใหม่ โดยคนในคลิปจับสลากได้เสื้อฟุตบอลแมนยู สกรีนข้างหลังว่า “แอนโทนี่” หมายเลข 21 เหตุที่เป็นไวรัลได้ เป็นเพราะ จับได้ของใครไม่จับ ดันจับได้ของเพื่อนสนิทที่ไปซื้อมาด้วยกัน ทีนี้รู้เลยว่า ของข้างในคืออะไร แบบที่ไม่ต้องรอเปิด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวเน็ตหลุดโฟกัสหลังจับสลากคือ ตอนที่ดึงออกมา เห็นแบงก์ 20 บาทร่วงลงมาด้วย ดังนั้น คนดูจึงโพสต์เตือนว่า มีเงิน 20 บาทด้วย อย่าลืมสิ ทว่า เจ้าของคลิปก็มาตอบแล้วว่า เงิน 20 บาทนั้นหายไปเรียบร้อย
บางคนก็แซวน้องว่า เหมือนบัวขาวเวอร์ชั่นเด็ก นี่คือบัวขาว บัญชาเมฆ ที่กลับไปเรียนหรือ ?
บ่าวสาววิวาห์ เผยภาพวัยเด็กทำแขกตะลึง เคยแต่งงานกันตอนอนุบาล ชะตาลิขิตเหลือเชื่อ
บ่าวสาวจูงมือเข้าวิวาห์ เผยภาพวัยเด็กทำแขกตะลึง เคยมีรูปคู่แต่งงานกันมาตั้งแต่ตอนอนุบาล เป็นไปได้ไง ชะตาลิขิตเหลือเชื่อ
ภาพจาก Weibo
บางคนเชื่อในเรื่องโชคชะตาและพรหมลิขิต ที่ว่าคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ซึ่งหลายครั้งก็มีเรื่องราวให้น่าประหลาดใจอย่างที่คาดไม่ถึง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ซึ่งหลายครั้งก็มีเรื่องราวให้น่าประหลาดใจอย่างที่คาดไม่ถึง
ล่าสุด
วันที่ 10 มกราคม 2568 เว็บไซต์ ETtoday เผยว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
บนโซเชียลมีเดียของจีนได้แชร์ภาพและเรื่องราวชวนทึ่ง
เมื่อมีคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งได้จัดงานวิวาห์ และได้เผย “ภาพแต่งงาน”
ที่ทำเอาตกตะลึงไปตามกัน
เพราะภาพถ่ายนั้นถูกบันทึกขึ้นตั้งแต่สมัยเด็กตอนเรียนชั้นอนุบาล
โดยที่ต่างไม่เคยล่วงรู้ว่าจะได้เป็นคู่แต่งงานกันจริง ๆ ในอีก 20 ปี
ข้างหน้า
ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นเผยว่า
งานแต่งงานแห่งนี้จัดขึ้นที่เมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน นายเจิ้ง
ได้เปิดเผยในงานแต่งงานของเขาว่า “เขาและว่าที่ภรรยาของเขา
เคยแต่งงานกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล” ทำเอาแขกในงานทั้งเพื่อน ๆ
และญาติต่างพากันประหลาดใจ กระทั่งเขาได้เผยภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่า
เขาและว่าที่ภรรยาในสมัยเด็กอยู่ในชุดบ่าวสาวเคียงคู่กันจริง ๆ
ภาพจาก Weibo
ภาพจาก Weibo
เจิ้งเผยเรื่องราวว่า
ตอนนั้นเป็นงานแสดงของโรงเรียนอนุบาล
คุณครูของพวกเขาได้จัดแจงให้ทั้งสองขึ้นไปเล่นละครบนเวทีคู่กันเป็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อีกทั้งยังไม่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน และหลังจากเรียนจบชั้นอนุบาล
ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปคนละที่ แทบจะไม่มีความทรงจำร่วมกันเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งปี
2565 อยู่ ๆ วันหนึ่ง เจิ้งได้ดูคลิปวิดีโองานโรงเรียนและการแสดงเก่า ๆ
ในกลุ่มแชตของเพื่อนวัยเด็ก กระทั่งสะดุดตากับ “เจ้าสาวตัวน้อย” ของเขา
เขาจึงตามหาเธอคนนั้นโดยมีความหวังว่าอาจจะได้สานสัมพันธ์กัน
และด้วยความช่วยเหลือจากอดีตคุณครูโรงเรียนอนุบาลแห่งนั้น
ในที่สุดเขาก็ติดต่อกับเธอได้สำเร็จ และที่น่าสนใจก็คือ
ตอนนั้นเธอก็โสดด้วยเหมือนกัน
ภาพจาก Weibo
ทั้งสองได้สานสัมพันธ์โรแมนติกและคบหากันอย่างจริงจัง
จนได้ตกลงแต่งงานกันเมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา บนเวทีแต่งงาน
เจิ้งกล่าวอย่างมีความสุขว่า “วันที่ 7 มกราคม 2568
เราก็ได้ขึ้นเวทีด้วยกันอีกครั้ง ด้วยภาพที่เหมือนเดิมอย่างไม่คาดคิด
แต่คราวนี้เราได้จูงมือเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกันของจริง
พรหมลิขิตช่างน่าอัศจรรย์ !”
เรื่องราวความรักที่น่าเหลือเชื่อนี้ถูกเผยแพร่ไปบนโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
และติดเทรนด์อันดับต้น ๆ ในการค้นหาบนเว็บไซต์เว่ยป๋อ
ชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
“พรหมลิขิตของแท้ น่าทึ่งมากจริง ๆ !”
“ต้องใส่ซองขอบคุณให้คุณครู กามเทพตัวจริง”
“สังเกตว่าพวกเขาคล้ายกันมากตอนเด็ก นี่สินะที่เรียกว่าคู่แท้”
“ชะตาลิขิตกันมาตั้งแต่อนุบาล เหลือจะเชื่อ”
“มันวิเศษมากที่ได้อยู่เคียงคู่กัน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต”
ภาพจาก Weibo
ขอบคุณข้อมูลจาก ETtoday, Soha
ขนมเบื้้อง 5 ชิ้น 70 บาท ถามถูกหรือแพง เจอสวนด้วยคำคม คนไลก์ 2300 ครั้ง
ซื้อขนมเบื้องริมทาง 5 ชิ้น 70 บาท โพสต์ถามถูกหรือแพง เจอชาวเน็ตสวดด้วยคำคม คนไลก์ 2,300 ครั้ง งานนี้รู้เรื่อง
วันที่ 11 มกราคม 2568
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งไปซื้อขนมเบื้องริมทาง แต่รู้สึกว่าราคาแพงเกินไป 5
ชิ้น 70 บาท จึงโพสต์ถามคนในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภคว่ามันถูกหรือแพง
มีรายละเอียดดังนี้
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งไปซื้อขนมเบื้องริมทาง แต่รู้สึกว่าราคาแพงเกินไป 5
ชิ้น 70 บาท จึงโพสต์ถามคนในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภคว่ามันถูกหรือแพง
มีรายละเอียดดังนี้
5 ชิ้น 70 บาท ถูกหรือแพงคะหรือราคานี้คือราคาปกติคะ
รสชาติกลาง ๆ ไม่ได้ว้าวอะไรเลย หรืออาจจะต่างจากร้านอื่น (หรือเปล่า) คือมีลูกเกดและมะพร้าวเข้ามาราคาเลยแพง
ตอนที่เราสั่ง เขาหยิบกล่องที่ตั้งแล้วส่งมาให้เลย
เราเลยไม่เห็นว่าข้างในมีกี่ชิ้น พอมาเปิดดูมี 5 ชิ้น แอบเสียความรู้สึก
และรู้สึกว่าของมันแพงถึงขนาดนี้แล้วหรอ
ขนาดเราไปกินตามสถานที่ท่องเที่ยวราคายังไม่เกิน 50 บาทเลยค่ะ
อันนี้ร้านริมฟุตบาททางเท้าขาย 70 บาทเลย
ด้านชาวเน็ตเข้ามาวิจารณ์ในทันทีว่า เขาขายเอากำไร ไม่ได้ขายทำการกุศล
ดังนั้นราคาที่ขายจึงไม่แพงแน่นอน ไม่จำเป็นว่า ขายข้างทางจะต้องราคาถูก
เพราะต้นทุน แหล่งซื้อไม่เท่ากัน ซึ่งท็อปคอมเมนต์มีคนไลก์ 2,300 ครั้ง
ร้านข้าวขาหมู มีข้อห้ามตัวแดงแจ๋สุดพีคบนโต๊ะ คำสั่งที่จริงใจสุด ๆ
เข้าร้านข้าวขาหมู เจอข้อห้ามตัวแดงแจ๋สุดพีคบนโต๊ะ อ่านแล้วก็ได้แต่เอ๊ะ เป็นคำขอที่จริงจนกลายเป็นไวรัล สั่งอาหารจากร้านไหนก็ได้ ยกเว้นร้านนั้น เพราะไม่ถูกกัน
เวลาเข้าร้านอาหาร บางร้านมักจะมีกฎข้อห้ามที่แตกต่างกันออกไป เช่น ห้ามนำเครื่องดื่มจากข้างนอกมาดื่มภายในร้าน ห้ามสูบบุหรี่ ฯลฯ แต่เคสที่จะให้อ่านต่อไปนี้ เป็นอีกข้อห้ามหนึ่งที่แปลกออกไปจนกลายเป็นไวรัล
วันที่ 10 มกราคม 2568 เฟซบุ๊ก พี่เสือ ธนสิทธิ์ มีการโพสต์ภาพบนโต๊ะอาหารของร้านข้าวขาหมูแห่งหนึ่ง เขียนตัวแดงชัดเจนว่า “ขอความกรุณาลูกค้าไม่สั่งก๋วยเตี๋ยวข้างร้านมาทานในร้าน แต่ร้านอื่นได้หมด ส่วนลูกค้าที่ทานข้าวขาหมู ขอให้ทานภายในร้านเท่านั้น ไม่มีการเสิร์ฟข้างร้าน ขออภัยในความไม่สะดวกอย่างยิ่ง เพราะทางร้านมีปัญหากัน ขอบคุณที่เข้าใจ”
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พี่เสือ ธนสิทธิ์
ชาวเน็ตอ่านป้ายบนโต๊ะแบบนี้ มองจากดาวอังคารก็รู้ 2 ร้านนี้ไม่ถูกกันอย่างรุนแรงแน่นอน ส่วนเจ้าของโพสต์ก็แซวตัวเอง บอกว่า เกือบสั่งไปแล้ว สุดท้าย การชี้แจงแบบตรงไปตรงมาก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด และเราไม่ควรสั่งอาหารจากร้านคนอื่นเข้ามากินที่อีกร้าน เว้นแต่ว่าร้านเป็นญาติกัน
นทท. ญี่ปุ่นช็อก แท็กซี่ไทยมิเตอร์เทอร์โบ พริบตาเดียวเลขพุ่ง ช้ำใจเงินเยนก็อ่อนอยู่แล้ว
นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น แชร์คลิปช็อก แท็กซี่ไทยมิเตอร์เทอร์โบติดสปีด พริบตาเดียวเลขพุ่ง ช้ำใจเงินเยนก็อ่อนอยู่แล้ว
ภาพจาก X@Thai__Suki
นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทยมักจะได้เจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่น่าประหลาดใจ
ซึ่งมีทั้งเรื่องที่ชวนให้ยิ้มและเรื่องที่ทำให้ตกใจไม่น้อย ล่าสุด
มีนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง ได้เผชิญกับประสบการณ์ชวนอึ้ง
เมื่อขึ้นแท็กซี่โดยสารที่ประเทศไทย และได้เจอมิเตอร์เทอร์โบแบบติดสปีด
ตัวเลขขึ้นไวยิ่งกว่ากระพริบตา
ที่น่าประหลาดใจ
ซึ่งมีทั้งเรื่องที่ชวนให้ยิ้มและเรื่องที่ทำให้ตกใจไม่น้อย ล่าสุด
มีนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง ได้เผชิญกับประสบการณ์ชวนอึ้ง
เมื่อขึ้นแท็กซี่โดยสารที่ประเทศไทย และได้เจอมิเตอร์เทอร์โบแบบติดสปีด
ตัวเลขขึ้นไวยิ่งกว่ากระพริบตา
วันที่ 10 มกราคม 2568 บัญชี
X@Thai__Suki ของหนุ่มชาวญี่ปุ่นได้โพสต์แชร์คลิปวิดีโอที่บันทึกมาได้
ในขณะที่กำลังขึ้นแท็กซี่คันหนึ่งในประเทศไทย
โดยจะเห็นว่าตัวเลขค่าโดยสารที่ปรากฏตรงมิเตอร์ด้านหน้านั้นขึ้นพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาแค่ไม่ถึง 10 วินาที
ซึ่งแตกต่างจากมิเตอร์แบบปกติตามมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด
โดยผู้โพสต์ชาวญี่ปุ่นรายนี้ได้เขียนข้อความระบุว่า
“(ข่าวเศร้า) ฉันตั้งตารอที่จะได้ไปเที่ยวเมืองไทย
และแท็กซี่คันแรกที่ฉันนั่งจากสนามบินคือ
แท็กซี่ที่ติดตั้งมิเตอร์เทอร์โบที่ผิดกฎหมาย ฉันดีใจที่สังเกตเห็นแต่เนิ่น
ๆ เพราะฉันพอคุ้นเคยกับประเทศไทย แต่ถ้าไม่สังเกตคงเป็นปัญหาใหญ่
โปรดอย่าเอาเปรียบนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเลย
ตอนนี้ค่าเงินเยนก็อ่อนมากอยู่แล้ว”
ภาพจาก X@Thai__Suki
ภาพจาก X@Thai__Suki
หลังจากนั้นโพสต์ดังกล่าวก็ได้รับความสนใจมีชาวญี่ปุ่นเข้าไปคอมเมนต์แสดงความตกตะลึง
กล่าวกันว่า “มิเตอร์ไม่ระเบิดเหรอแบบนี้ ?”, “มิเตอร์ไม่ใช่เครื่องยนต์
ติดเทอร์โบได้อย่างไร”, “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้น ?
มิเตอร์เสียหรือเปล่า ?
ในขณะที่มีหลายรายเข้าไปร่วมแชร์ประสบการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับแท็กซี่เมืองไทยที่เคยเจอมาในลักษณะใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้
ยังมีผู้ใช้โซเชียลชาวญี่ปุ่นบางรายถามเกี่ยวกับบริการเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปฯ
ซึ่งเจ้าของโพสต์ได้เข้าไปตอบว่า “มันจะแพงกว่าแท็กซี่ทั่วไปเกือบ 2 เท่า
แต่ถ้าโชคไม่ดี เจอแท็กซี่ติดมิเตอร์เทอร์โบ ก็จะแพงกว่าปกติประมาณ 5 เท่า”
สำหรับกรณีนี้ เจ้าของโพสต์เผยว่า
หลังจากสังเกตว่าเลขค่าโดยสารบนมิเตอร์ขึ้นมามากกว่าร้อยบาทใน 5 นาที
ก็รู้สึกเป็นกังวล เขาจึงขอลงอย่างใจเย็น
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหามากที่สุด
เมียตาค้าง เจอเงิน 2 ล้านผัวซ่อนในตู้เสื้อผ้า ปรึกษาควรถามดีไหม คนสังเกตจุดผิดปกติ
ภรรยาบังเอิญเจอเงิน 2 ล้าน สามีซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า ขอคำปรึกษาว่าถามดีไหม ชาวเน็ตเตือนความผิดปกติ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก 毒姑九賤婆媳討論區
วันที่ 9 มกราคม 2568 เว็บไซต์ CTWANT เผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหญิงภรรยารายหนึ่ง ได้โพสต์แชร์เรื่องราวพร้อมตั้งคำถามผ่านทางเฟซบุ๊กชุมชนออนไลน์ของไต้หวัน ภายหลังจากจากบังเอิญเจอเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อพบเงินสดจำนวนมากถึง 2 ล้าน ซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าของสามี ทำให้เธอรู้สึกคับข้องใจมากไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
โดยหญิงรายนี้เล่าว่า ไม่กี่วันก่อน เธอได้ทำความสะอาดห้องในช่วงบ่าย เมื่อเธอเปิดตู้เสื้อผ้าของสามีก็พบกระเป๋าใบหนึ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าด้านในจะเก็บของจิปาถะต่าง ๆ ตามปกติ แต่ปรากฏว่าเมื่อเธอเปิดออกดูก็ต้องตะลึงตาค้าง เมื่อมันมีธนบัตรเงินสดอยู่หลายปึก
ทางภรรยาพยายามความคุมสติ และค่อย ๆ นับอย่างระมัดระวัง กระทั่งพบว่าเงินสดทั้งหมดมีจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 2.1 ล้านบาท) ทำให้เธอยิ่งรู้สึกตกใจว่าทำไมเงินสดจำนวนมากเช่นนี้ถึงถูกนำมาเก็บซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าของสามี เธอคิดไปสารพัดด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ
ทั้งนี้ ภรรยาเผยว่า
เธอเป็นคนเก็บสมุดบัญชีและตราประทับลายเซ็นต์ของเขา
และเธอก็เป็นจัดการเงินเดือนของเขาตลอด
โดยเธอจะให้เงินสามีเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 12,000 ดอลลาร์ไต้หวัน
(ราว 12,500 บาท) แต่เธอไม่เคยรู้ว่าเขาจะแอบเก็บเงินส่วนตัวของเขาเองด้วย
หรือเขาไปเงินนี้มาจากไหน
“ความรู้สึกมากมายผสมปนเปอยู่ในใจ ฉันควรถามไหม ? ฉันควรพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ดี”
หลังจากเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ก็ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
พากันเข้าไปแสดงความคิดเห็นถกเถียงอย่างดุเดือด หลายคนคาดเดากันไปต่าง ๆ
นานา กล่าวว่า “อาจเป็นทุนสำรองฉุกเฉิน”,
“หรือเขาจะแอบถูกรางวัลลอตเตอรี่”, “โบนัสสิ้นปีที่แอบเก็บไว้”
และบางรายก็แซวติดตลกว่า “ยินดีด้วยล่วงหน้า
เขาอาจจะเตรียมเซอร์ไพรส์ให้อั่งเปาในปีนี้”
อย่างไรก็ตาม
มีผู้ใช้โซเชียลจำนวนไม่น้อยที่สังเกตถึงความผิดปกติ และได้เตือนว่า
“แหล่งที่มาของเงินอาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย”
โดยแนะนำให้ภรรยารายนี้รีบถามสามีของเธอตรง ๆ เผื่อว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี
“เงินเก็บส่วนตัว 2 ล้าน ? คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ
ที่เขาเอามาเก็บเป็นเงินสดไว้ทั้งหมดนี้ ?”,
“ดูเหมือนว่าจะมีความกังวลเป็นพิเศษที่ต้องเอามาซ่อนไว้แบบนี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT