ซื้อของให้พนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น เพราะแต่งตัวน่ารัก สะเหล่อไหม น้องเปาเข้ามาตอบแล้ว


          ซื้อช็อกโกแลตให้พนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น เพราะแต่งตัวน่ารัก แบบนี้สะเหล่อไหม น้องเปาเซเว่น เข้ามาตอบแล้ว ชาวเน็ตก็ร่วมแสดงความเห็น



ซื้อขนมให้พนักงานเซเว่นเพราะแต่งตัวน่ารัก สะเหล่อไหม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
ภาพจาก David Bokuchava / Shutterstock.com
          วันที่ 25 มกราคม 2568 คุณ สมาชิกหมายเลข 8605162 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีการเล่าเรื่องการเข้าเซเว่น อีเลฟเว่น แต่กลับพบว่า พนักงานแต่งตัวในธีมตรุษจีน น่ารักมาก ดังนั้นจึงมีการสั่งช็อกโกแลตเพิ่ม แล้วเอาส่วนที่เพิ่มให้พนักงานไปฟรี ๆ ทำแบบนี้ดูสะเหล่อไหม

ซื้อขนมให้พนักงานเซเว่นเพราะแต่งตัวน่ารัก สะเหล่อไหม
          ด้านน้องเปาเซเว่น เข้ามาตอบว่า การทำแบบนี้ทางเรามีความยินดีมาก ๆ และขอขอบคุณแทนน้อง ๆ พนักงานที่อยู่หน้างานด้วย เพราะคำชม การซื้อของให้ เป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับทีมงานทุกคน

          ส่วนชาวเน็ตต่างเข้ามาแซวว่า เจ้าของกระทู้ล็อกมงน้องพนักงานคนไหนไว้หรือเปล่า ถึงทำแบบนี้ ทางที่ดีควรมอบให้พนักงานทุกคน เพื่อไม่ให้น้องเขาลำบากใจจากสถานการณ์นี้

พนักงานบริษัทมาสาย 8 วัน แต่ได้โบนัสน้อยกว่าคนลาเป็นเดือน เป็นดราม่าคนถกเดือด

          หนุ่มออฟฟิศข้องใจ มาสาย 8 วัน แต่ได้โบนัสน้อยกว่าคนลาเป็นเดือน ถามสมควรไหม กลายเป็นประเด็นร้อน คนถกเดือดเสียงแตก



พนักงานมาสาย 8 วัน แต่ได้โบนัสน้อยกว่าคนลาเป็นเดือน

          พนักงานหลายคนตั้งใจทำงานและพยายามรักษาประสิทธิภาพในการทำมาตลอดทั้งปี ส่วนหนึ่งก็เพื่อต้องการเงินตอบแทนพิเศษหรือโบนัสปลายปี อย่างไรก็ดี บางที่อาจจะไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ดังนั้นเมื่อถึงเวลารับเงินโบนัส บางคนก็มีความสุขมาก ในขณะที่บางคนกลับขุ่นข้องหมองใจ

          วันที่ 24 มกราคม 2568 เว็บไซต์ CTWANT เผยเรื่องราวจากหนุ่มพนักงานออฟฟิศรายหนึ่งในไต้หวัน เขาได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและรับไม่ได้เป็นอย่างมาก เมื่อเขาได้เงินโบนัสปลายปีน้อยว่าพนักงานใหม่ รวมถึงคนที่ลาหยุดงานเป็นเดือน ในขณะที่เขามาสายเพียง 8 ครั้ง  เรื่องราวนี้จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรงบนโลกออนไลน์

          พนักงานหนุ่มรายนี้ได้โพสต์ลงบน Dcard ชุมชนออนไลน์ของไต้หวัน โดยตั้งชื่อหัวข้อสนทนาว่า “ฉันจะทำให้บริษัทไล่ฉันออกได้อย่างไร ?” พร้อมทั้งได้ระบายความคับข้องใจว่า เมื่อไม่นานมานี้ ทางบริษัทของเขาได้แจกจ่ายโบนัสสิ้นปี แต่จำนวนเงินที่เขาได้นั้นไม่สมเหตุสมผล

          พนักงานหนุ่มอธิบายว่า ในปีที่ผ่านมา เขามาเข้างานสายเป็นจำนวน 8 ครั้ง และลาป่วยจำนวน 8 ครั้ง แต่เขาสามารถรับผิดชอบหน้าที่การทำงานได้เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในพนักงานที่มีผลงานดีที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้เขายังให้ความช่วยเหลือต่อพนักงานคนอื่น ๆ ด้วย แต่ปรากฏว่า เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา ในช่วงประเมินผลการทำงาน ทางหัวหน้างานของเขาได้เรียกเขาไปคุยเรื่องการมาสาย และหวังว่าเขาจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

          ผลที่ออกมาก็คือ พนักงานหนุ่มรายนี้ได้โบนัสปลายปีน้อยกว่าพนักงานใหม่ที่ทำงานไม่ถึงปี ทั้งที่เขาทำงานที่บริษัทแห่งนี้มานาน 2 ปี นอกจากนี้คนที่ลางานเป็นเดือน ก็ยังได้เงินโบนัสนี้มากกว่าเขา ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก เขาจึงมีความคิดที่อยากจะลาออกในเดือนมีนาคมหรือเมษายนปีนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม

          “ฉันทำงานหนักที่บริษัทแห่งนี้ ฉันสู้จนตัวตาย แต่นี่คือรางวัลที่ฉันได้ตอบแทน ฉันไม่มีแรงจูงใจและไม่มีเหตุผลที่จะทำงานให้บริษัทแห่งนี้แล้ว” พนักงานหนุ่ม กล่าว

          หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา
ก็ได้รับรับความสนใจจากชาวเน็ต ต่างพากันเข้าไปคอมเมนต์เห็นอย่างดุเดือด
โดยความคิดเห็นถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยส่วนหนึ่งมองว่าการมาทำงานสายถึง 8
ครั้งเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวินัยในการทำงาน โดยกล่าวว่า

          “จริง ๆ แล้วการมาสายจะส่งผลต่อการประเมินผลงานมากกว่าการลา”

          “ไม่สำคัญว่าคุณจะทำงานได้ดีแค่ไหน สิ่งสำคัญคือคุณต้องรักษาวินัยขั้นพื้นฐานในการทำงาน ต้องตรงต่อให้ได้เสียก่อน”

          “การลาเป็นสิทธิของพนักงาน ในขณะที่การมาสายผิดกฎระเบียบ ดังนั้นหัวหน้างานจึงประเมินถูกต้องแล้ว”

         
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้โซเชียลอีกส่วนเห็นต่าง
มองว่าประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของการทำงานมีความสำคัญมากกว่าช่วงเวลาที่มาสายไปเพียงเท่านั้น
ไม่สมควรที่จะถูกนำมาตัดสินกับโบนัสสิ้นปี

          “คุณมาสายก็ถูกหักเงินไปแล้วไม่ใช่เหรอ ? แถมคุณยังรับผิดชอบงานเรียบร้อย ไม่ได้กระทบกับคนอื่น”

          “เจ้านายบางคนมองแค่เรื่องการมาเข้างาน ไม่ได้สนใจที่ความสามารถ”

          “มาสาย 8 ครั้งต่อปี ไม่ได้แย่จริง ๆ และต่อให้คุณมาสายคุณก็ทำงานได้ดีเหมือนเดิม”

         
“จริง ๆ แล้ว การที่คุณมาสายกี่ครั้งต่อปีไม่สำคัญหรอก
ประเด็นคือคุณไม่ใช่คนที่บริษัทต้องการ ถ้าคุณจะเป็นคนที่บริษัทต้องการจริง
ๆ แม้ว่าคุณจะมาสายทุกวัน บริษัทก็จะไม่พูดอะไร”

ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT

เพียงแค่เปิดออกมาก็เอะใจ ถุงแปลก ๆ ใน กระติ๊บข้าวเหนียว ก่อนแม่ค้าบอกเรื่องชวนสะพรึง

           เปิดกระติ๊บข้าวเหนียวจากร้านอาหารอีสาน เพียงแค่หยิบถุงพลาสติกออกมาก็รู้สึกเอะใจ ก่อนรู้ความจริงชวนสะพรึง แม่ค้ายืนยันเองกับปาก ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ



กระติ๊บข้าวเหนียว

กระติ๊บข้าวเหนียว

          หนึ่งในเมนูข้าวที่ขึ้นชื่อของไทย เอามากินกับอาหารได้หลากหลาย
โดยเฉพาะอาหารอีสาน ย่อมเป็นข้าวเหนียว ที่ไม่จำเป็นต้องกินมาก
แต่หวานและหนักท้อง อร่อย

          วันที่ 24 มกราคม 2568
ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง
มีการลงคลิปลูกค้ารายหนึ่งไปสั่งอาหารที่ร้านอาหารอีสาน
แต่ทางร้านกลับเสิร์ฟกระติ๊บข้าวเหนียวรีไซเคิล ใช้ถุงพลาสติกซ้ำ
ทุกคนต้องกินต่อกันไปโดยที่ไม่เปลี่ยนถุงเลย ทั้งที่เป็นร้านดัง
แถมแม่ค้ายืนยันเองกับปากว่า “ใช้วน หมดวันจะเปลี่ยนรอบหนึ่ง”

กระติ๊บข้าวเหนียว
กระติ๊บข้าวเหนียว

กระติ๊บข้าวเหนียว

กระติ๊บข้าวเหนียว

กระติ๊บข้าวเหนียว

         
ด้านชาวเน็ตเห็นแล้วก็เพลียกับสิ่งที่ร้านอาหารทำ แต่ก็แนะนำว่า
ควรแก้ที่ตัวเอง
เวลากินอาหารเสร็จก็ทำลายทุกอย่างบนโต๊ะอาหารที่สามารถนำมาใช้ได้อีก
เพียงเท่านี้ก็ตัดโอกาสทางร้านนำของมาใช้ซ้ำได้แล้ว

         
บางกรณี เคยเจอแย่กว่านั้น แต่เกิดขึ้นที่ร้านอื่นคือ
เอาข้าวเหนียวที่กินเหลือจากหลาย ๆ โต๊ะ มารวมขายให้ก็มี
ถ้าเป็นแบบนี้คือยิ่งแย่มาก

เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี – ชวนเพื่อนลงอ่าง ฝ่ายเมียหลวงฮึ่ม ท้าให้ฟ้อง

 
          เน็ตไอดอลสาวออกโรงโต้ หลังถูกแฉเป็นเมียน้อยเศรษฐี ชวนเแก๊งเพื่อนร่วมปรนนิบัติ 4 รุม 1 ลั่นแค่แฟนคลับอันดับ 1 ฝ่ายเมียหลวงฮึ่ม ท้าให้ฟ้อง



เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

              กลายเป็นหนึ่งในประเด็นแฉแซ่บในสื่อไต้หวัน
เมื่อภรรยาของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง ออกมากล่าวหาเน็ตไอดอลสาวสุดเซ็กซี่
ว่าเป็นเมียน้อยของสามีเธอ
โดยพบคลิปเซ็กส์ของสามีและเน็ตไอดอลสาวในโทรศัพท์มือถือ
แถมเน็ตไอดอลสาวยังชักชวนเพื่อนเน็ตไอดอลอีก 3 คน
มาลงอ่างปรนนิบัติสามีเธอแบบ 4 สาวรับใช้ 1 สามี

              อ่านข่าว : เน็ตไอดอลโดนแฉ เป็นเมียน้อยนักธุรกิจ ชวนเพื่อนร่วมวง 4 คน
ลงอ่างราวฉากถ่ายหนัง
 

              ขณะที่ต่อมา
เว็บไซต์ Hk01 มีรายงานความคืบหน้าเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ชี้ว่า
หลังจากที่ถูกฝั่งภรรยาเศรษฐีออกมาแฉ นานาโกะ หรือ กูริ
เน็ตไอดอลสาวรายดังกล่าว ก็ถูกไล่ออกจากแมนชั่นของเศรษฐี
และตัดสินใจออกมาไลฟ์ตอบโต้ใน 2 สัปดาห์ต่อมา
เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

             โดย นานาโกะ
แสดงความรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม และยืนยันว่าเศรษฐีดังกล่าวนั้น
เป็นเพียงแฟนคลับ “หมายเลข 1”
ที่เปย์ของขวัญให้เธอมากที่สุดระหว่างการไลฟ์เท่านั้น
แต่เพราะเธอมักถูกเขาแบล็กเมล ตอนนี้ก็เลยบล็อกไปแล้ว

             อย่างไรก็ตาม
คำแถลงจากฝั่งนานาโกะทำให้ฝ่ายภรรยาเศรษฐีไม่พอใจ
และออกมาส่งคำท้าถึงนานาโกะ
ให้ไปฟ้องเอาได้เลยหากสิ่งที่ตัวเองพูดไปเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
และย้ำว่ายินดีให้เน็ตไอดอลสาวยื่นฟ้อง

 
เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

เน็ตไอดอล ไลฟ์โต้ปมเมียน้อยเศรษฐี
ภาพจาก Instagram 0726_3200

ขอบคุณข้อมูลจาก Hk01

 

ปัญหาครอบครัว หญิงวัย 30 ปี เจอปัญหาหนักใจ สามีไม่ทำงาน ฟันดะอย่างเดียว

          หญิงวัย 30 เจอปัญหาหนักใจ สามีไม่ทำการทำงาน วัน ๆ จะจัดหนักลูกเดียว เคยทำ 30 วันไม่มีพัก พอจะหยุดก็ขู่เอาลูกหนี หัวจะปวดไม่รู้จะแก้ยังไง



สาวหนักใจ สามีไม่ทำงาน วัน ๆ จะจัดหนักอย่างเดียว

          วันที่ 23 มกราคม 2568 เฟซบุ๊ก แมนสะพานบุญ บ้านเพ มีการเล่าเรื่องราวหญิงคนหนึ่งประสบปัญหาชีวิต เมื่อสามีไม่ทำการทำงาน วัน
ๆ เอาแต่ขอมีอะไรด้วยจนเธออยากเลิก แต่เลิกไม่ได้เพราะอีกฝ่ายขู่ว่า
จะเอาลูกหนีไป ด้วยความรักลูกมากจึงต้องทนมาตลอด หาทางออกเรื่องนี้ไม่ได้

          แนวหน้า รายงานว่า เจ้าของเพจให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า น้องเขาทักแชตมาปรึกษาปัญหาครอบครัว
สามีไม่ทำงาน จะมีเซ็กส์อย่างเดียว น้องเขาก็เหนื่อยจากการทำงาน
ยังต้องเจอแบบนี้อีกก็ทุกข์ใจ ถ้าเลิกกันสามีก็ขู่เอาลูกหนี
ตนก็ไม่รู้ว่าจะให้คำปรึกษายังไง เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว อยากให้คุยกัน
ไม่อยากให้เลิก

          ต่อมา นางสาวเอ (นามสมมติ) วัย 30 ปี
กล่าวว่า ช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เขาจัดหนัก 30 วันเต็มไม่มีวันหยุด
ด้วยรักตนก็ยอม ต่อมาไม่ไหว ต่อรองลดเหลือ 25 วัน เหลือ 15 วัน
กระทั่งล่าสุด ต่อรองจนเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน เพราะตนต้องทำงาน เหนื่อย
บางครั้งอยากพักผ่อน

สาวหนักใจ สามีไม่ทำงาน วัน ๆ จะจัดหนักอย่างเดียว

         
เวลาที่ตนไม่ยอม เขาก็จะพูดแทงใจ กล่าวหาว่าตนมีคนอื่น จะนอกใจ และขู่ว่า
ถ้าเลิกจะพาลูกสาววัย 2 ขวบหนี
และที่ผ่านมาก็เคยพาลูกหนีมาครั้งหนึ่งจนถึงขั้นขึ้นโรงพักไปแล้ว
อยากหาทางออกให้กับเรื่องนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า

เที่ยวตลาดน้ำ ชาวบรูไนเจอรูดบัตรเครดิต 8 หมื่น ทั้งที่ราคา 8 พัน ร้านงัดหลักฐานสู้

          ชาวบรูไน ไปเที่ยวตลาดน้ำ เจอแม่ค้ารูดบัตรเครดิต 8 หมื่นบาท ทั้งที่ราคา 8 พัน ล่าสุดฝั่งแม่ค้าแจงแล้ว พร้อมโชว์หลักฐาน เสียใจ ทำการท่องเที่ยวไทยเสียชื่อ



เที่ยวตลาดน้ำ ชาวบรูไนเจอรูดบัตรเครดิต 8 หมื่น
ภาพจาก x @RedSkullxxx

          วันที่ 23 มกราคม 2568 x @RedSkullxxx มีการลงคลิปนักท่องเที่ยวชาวบรูไน มาเที่ยวตลาดน้ำแห่งหนึ่งในประเทศไทย แต่คล้ายกับถูกแม่ค้ารูดบัตรเครดิต 8 หมื่นบาท เป็นค่าแพ็กเกจทัวร์ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า มันแพงเกินจริง จึงได้ลงคลิปเพื่อเตือนภัย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ร้านค้าเป็นวงกว้าง

          ต่อมามีคนที่ระบุว่า เป็นคนของทางร้าน โพสต์ว่า ปกติร้านเธอมีลูกน้อง แต่ลาออกไป จึงให้แม่มาขายแทน แต่แม่ทำยังไม่คล่อง กดเลข 0 เกินมา 1 ตัว จากที่ควรจะเป็น 8,560 บาท ก็เป็น 85,000 บาท

เที่ยวตลาดน้ำ ชาวบรูไนเจอรูดบัตรเครดิต 8 หมื่น
ภาพจาก x @RedSkullxxx

          ส่วนทางลูกค้าพอรู้ว่ายอดผิดจึงทักท้วง
และมีการแก้ไข กดยกเลิกยอดกับธนาคารไปแล้ว มีหลักฐานเป็นสลิปที่ยกเลิก
ก่อนที่จะรูดใหม่ในราคาที่ถูกต้อง และคุณแม่ก็ขอโทษลูกค้าเป็นสิบรอบ
ตอนนี้แม่เครียดมาก มาช่วยลูก แต่ทำให้ตลาดน้ำเสียชื่อเสียง เงินระดับ 8
หมื่น ใครจะกล้าโกง

ลูกชายเจอกระดาษเก่า ๆ ที่พ่อเคยเกือบทิ้ง ผ่านไปหลายสิบปี ขายได้กว่า 17 ล้าน

 
            ลูกชายเจอกระดาษเก่า ๆ ที่ครั้งหนึ่งพ่อเกือบโยนทิ้ง ก่อนเก็บเป็นสมบัติ ที่แท้เป็นฉบับร่างของเพลงดัง อึ้งขายได้กว่า 17 ล้าน



Mr. Tambourine Man บ็อบ ดีแลน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล

              วันที่ 20 มกราคม 2568 สำนักข่าว AP และ The New York Times รายงานว่า
กระดาษเหลืองเก่า ๆ 2 แผ่น ซึ่งเป็นเนื้อเพลงฉบับร่างจากเครื่องพิมพ์ดีด
ของเพลง Mr.Tambourine Man โดย บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan)
นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน ถูกประมูลขายไปในราคา 508,000
ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 17 ล้านบาท

              เนื้อเพลงฉบับร่างนี้
เป็นการพิมพ์โดยเครื่องพิมพ์ดีด และยังมีการเขียนแก้ไขด้วยลายมือของ บ็อบ
ดีแลน ปรากฏอยู่ นับเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่ง
ที่จะทำให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสถึงกระบวนการในการสร้างสรรค์ผลงาน
ของอัจฉริยะที่กำลังแต่งหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของยุค 60

              สำหรับกระดาษเนื้อเพลงฉบับร่างดังกล่าว
คือหนึ่งในข้าวของเกี่ยวกับดีแลน กว่า 60 ชิ้น ที่ทาง Julien’s Actions
นำมาจัดการประมูลในสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (18 มกราคม)
โดยในจำนวนนี้มีกว่า 50 ชิ้น ที่นำมาจากคอลเล็กชั่นส่วนตัวของ อัล
อาโรโนวิตซ์ (Al Aronowitz) นักข่าวสายดนตรีผู้ล่วงลับ

              ด้านบุตรชายของอาโรโนวิตซ์
เปิดเผยว่า พ่อของเขาไม่เคยทิ้งสิ่งใดไปเลย
และเขากับภรรยาก็ใช้เวลาอยู่นานหลายปี ในการไล่ดูของสะสมของพ่อกว่า 250
กล่อง อันเปรียบได้กับไทม์แคปซูล ที่เก็บสะสมงานเพลงและผลงานเขียนต่าง ๆ
ในช่วงยุค 60

 
Mr. Tambourine Man บ็อบ ดีแลน
ภาพจาก Stefano Chiacchiarini ’74 / Shutterstock.com

              อย่างไรก็ตาม
แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังจำไม่ได้ว่าเก็บร่างเนื้อเพลงฉบับนี้ไว้ที่ไหน
หรือเก็บไว้อย่างไร เป็นเวลานานหลายปีที่ครอบครัวของเขาเชื่อว่า
ร่างเนื้อเพลงเหล่านี้สูญหายไปแล้ว
จนกระทั่งเขากับภรรยามาค้นดูคอลเล็กชั่นของพ่อเมื่อไม่นานมานี้

              อนึ่ง
ในบทความที่อาโรโนวิตซ์ เคยเขียนไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ได้เล่าถึงที่มาของเนื้อเพลงฉบับร่างนี้ เมื่อดีแลน
มานั่งแต่งเพลงที่บ้านของเขาในนิวเจอร์ซีย์
และใช้เครื่องพิมพ์ดีดพกพาของเขา ในการรังสรรค์คำต่าง ๆ ลงบนกระดาษ
พร้อมกับควันบุหรี่ที่ลอยฟุ้ง

              เขายังเผยอีกว่ากระดาษเหล่านี้ถูกทิ้งลงถังขยะมาแล้ว
แต่ขณะที่เขานำถังขยะไปเททิ้งในเช้าวันต่อมา
ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้เขาตัดสินใจ ดึงกระดาษเหลือง ๆ
ที่ทิ้งไปแล้วออกมาจากถังขยะ อ่านดูเนื้อเพลงที่เป็นผลงานของดีแลน
และตัดสินใจเก็บมันไว้

              ในช่วงเวลาที่เขียนเพลง Mr.Tambourine Man
ดีแลนเพิ่งเลิกรากับแฟนสาว ซึ่งเคยปรากฏอยู่บนอัลบั้ม The Freewheelin’ Bob
Dylan เมื่อปี 1963 ขณะที่เพลง Mr.Tambourine Man
ได้รับการบันทึกและปล่อยออกมาในอัลบั้ม Bringing It All Back Home. ในปี
1965 และกลายมาเป็นผลงานการแต่งเพลงของดีแลนชิ้นแรก
ที่พุ่งทะยานสู่ชาร์ตอันดับ 1 ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร

ขอบคุณข้อมูลจาก  The New York Times, AP, USA Today

ติ๊ก ชิโร่ แถลงปมเมาขับชนดับ 2 ชีวิต คู่กรณีเรียก 24 ล้าน ชาวเน็ตเสียงแตก

         ติ๊ก ชิโร่ และภรรยา แถลงข่าวปมเมาแล้วขับรถชน จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เผยยังเจรจายอดเยียวยาไม่ลงตัว หลังคุณพ่อคู่กรณีเรียก 24 ล้าน ชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น มีเสียงแตก



ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

          วันที่ 23 มกราคม 2568 เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้ มีรายงานว่า นักร้องดัง ติ๊ก ชิโร่ ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ รถตู้ชนรถจักรยานยนต์ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ซึ่งเจ้าตัวเปิดใจว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สูญเสียอย่างมาก ตนจิตใจแตกสลาย เหมือนตายทั้งเป็น รู้สึกจุกอก น้ำตาตกใน

          ทั้งนี้ ติ๊ก ชิโร่ ในฐานะนักแต่งเพลง ได้แต่งเพลงเพื่อมอบให้คุณพ่อคุณแม่ของน้องที่เสียชีวิตด้วย โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 ครอบครัว ได้พูดคุยกันอย่างเป็นมิตร ด้วยเหตุและผล เห็นอกเห็นใจกัน ยืนยันตราบใดที่ตนยังมีลมหายใจ ตนเป็นสุภาพบุรุษพอ และจริงใจ พร้อมเยียวยาทุกอย่างที่จะทำได้

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

          ทางด้าน เอ๋ ภรรยาของ ติ๊ก ชิโร่ เผยว่า ทางคุณพ่อของน้องผู้เสียชีวิต เรียกร้องเงินเยียวยา 24 ล้านบาท ทางตนได้ปรึกษากับครอบครัวแล้วมองว่าเป็นยอดที่สูง ไม่สามารถหาให้ได้ทัน และยังมีภาระค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาพยายามขวนขวายสุดกำลัง และรอเงินจากการขายที่กิน ซึ่งยังขายไม่ได้ แต่หากคุณพ่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ทางพี่ติ๊กก็ยินดีจะโอนให้ ยืนยันว่าเยียวยาแน่นอน แต่ต้องตกลงตัวเลขให้ลงตัวก่อน

          สำหรับตัวเลขในการเยียวยา ก่อนหน้านี้ ติ๊ก ชิโร่ ได้เสนอตัวเลขเป็นเงิน 4-5 ล้าน  จากการขายที่ดิน โดยตัดสินใจว่าขายได้เท่าไรจะมอบให้คุณพ่อหมด แต่ยังขายไม่ได้ ขณะที่ทางคุณพ่อของน้องเสนอมาว่า ของน้องเมจิ 8 ล้าน น้องจูเนียร์ 18 ล้าน รวม 24 ล้าน ตอนนี้ยังเจรจากันไม่จบ อยู่ในขั้นต่อรองกันอยู่

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

          งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก ทั้งฝ่ายที่มองว่าทางคู่กรณีเรียก 24 ล้านบาท เป็นยอดที่สูงมากเกินไปหน่อย แต่อีกด้านก็มองว่าหากจะเยียวยาเป็นจำนวน 4-5 ล้าน ก็น้อยเกินไป และไม่ว่าเงินมากเท่าไรก็เทียบกับการสูญเสีย 2 ชีวิต ไม่ได้ ซ้ำทางฝั่งติ๊กยังเมาแล้วขับอีกด้วย แต่อีกฝั่งก็มองว่าเรื่องนี้ควรให้ศาลตัดสิน อีกทั้งยังต้องดูด้วยว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากอะไร ประมาทร่วมหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคนที่เห็นใจและให้กำลังใจทั้ง 2 ฝ่าย

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

          สำหรับความคิดเห็นจากชาวเน็ตเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว อาทิ

          – ถ้าสู้กับบนชั้นศาลไม่ขนาดนี้หรอกครับ 24 ล้านนี่ ขึ้นศาลเถอะ

          – คุยกันแบบมิตร 24 ล้านเนี่ยนะ แบบมิตร เกินไปไหม

          – เข้าใจญาติผู้เสียชีวิตน่ะครับ แต่24ล้านมันก็เยอะไป
จริงรู้อยู่ครับว่าชีวิตคนหนึ่งคนมันประเมินค่าไม่ได้
แต่เราก็ควรอยู่ตามหลักตวามเป็นจริงนะครับ เอาใจช่วยญาติผู้เสียชีวิตครับ
ส่วนพี่ติ๊กก็นับผลของการกระทำตัวเองไปเรื่องนี้ผมขออนุญาตไม่เห็นใจพี่น่ะ

         
– 100 ล้าน 1000 ล้าน มันก็ไม่คุ้มหรอกถ้าต้องแลกกับชีวิตคนรัก
แต่บางทีมันก็ต้องดูให้เหมาะสมกัน คนชนเขาก็ไม่ได้เจตนาชน
แล้วเขาก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก

          –
อะไรก็เทียบไม่ได้เลยค่ะกับชีวิต แต่ 24 ล้าน
สำหรับคนธรรมดาแบบเราคงหาไม่ได้เลย แต่ก็ให้กำลังใจสำหรับผู้สูญเสีย
และคุณติ๊กชีโร่ค่ะ

         
ชีวิตคนไม่สามารถตีเป็นเงินเมื่อเทียบกับการสูญเสีย
แต่มูลค่าที่เรียกร้องมันก็สูงจนเค้าไม่สามารถที่จะให้ได้
ไม่ใช่ว่าเค้าด้อยค่าชีวิตที่เสียเพียงแต่เกินกว่ากำลังที่เค้าจะให้ได้

          – ถ้าแกไม่เมา จะเป็นอีกเรื่องนึงเลย อันนี้เป็นบทเรียนของทุกคน…..อุบัติเหตุต้องระมัดระวังมาก ๆ

         
– เรียกเท่าไหร่เป็นสิทธิ์ของเขาครับ แต่จะได้เท่าไหร่
ขึ้นอยู่กับคำสั่งศาลครับ ยิ่งคู่กรณีไม่ได้หลบหนี
และได้เยียวยาดูแลเบื้องต้นไปบางส่วนแล้ว 24 ล้าน ไม่น่าจะถึงครับ

         

ถามว่าชีวิตคนคนนึงมันก็ประเมินค่าไม่ได้แหละ…จะเรียกขนาดนี้มันสูงเกินไปนะ

ที่นี้ก็อยู่ที่การคุยกันการตกลงกันทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความพึงพอใจครับสู้
ๆ ครับทั้งสองฝ่าย

          – 4-5 ล้าน น้อยไป แต่ 24 ล้าน
ก็มากเกินไป ส่วนตัวเคยมีประสบการณ์สูญเสีย ถ้าเทียบจากเงินประกันชีวิต
มองว่าการเยียวยาคนละ 5 ล้าน 2 คน 10 ล้าน สมเหตุสมผล
อันนี้แค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้, ไนน์เอ็นเตอร์เทน

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

ติ๊ก ชิโร่ แถลงข่าวชี้แจงกรณีอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

กรมอุตุฯ พยากรณ์อากาศ ช่วงตรุษจีน 26-28 ม.ค. เตรียมรับลมหนาวระลอกใหม่

 
              กรมอุตุนิยมวิทยาคาดช่วงวันที่ 23 – 25 มกราคม อากาศอุ่น รวมถึงการสะสมของฝุ่นละอองเพิ่ม จากนั้น 26 – 28 มกราคม ทั่วไทยอากาศเย็นลง และลมหนาวจะอ่อนกำลังลงหลังวันที่ 29 มกราคม



พยากรณ์อากาศ

              วันนี้ (23 มกราคม 2568) นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ
กรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า ช่วงวันที่ 23 -25 ม.ค.68
มวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบนจะเริ่มมีกำลังอ่อนลง
ทิศทางลมเริ่มเปลี่ยนแปลงบ้าง อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว
เดินทางสัญจรระวังหมอกในตอนเช้า
ช่วงที่ลมอ่อนลงต้องเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ออกนอกบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัย ส่วนบริเวณภาคใต้มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง
คลื่นลมมีกำลังอ่อนลง

              ช่วง 26 – 28 มกราคม 2568
ยังมีมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคอีสานและทะเลจีนใต้
ทำให้มีอุณหภูมิลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาว บริเวณภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน
กับมีลมแรงบริเวณภาคอีสาน ภาคตะวันออก
ระวังรักษาสุขภาพช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ช่วงเทศกาลตรุษจีน
มีลมแรงและอากาศแห้งระวังอัคคีภัยที่เกิดขึ้นได้ง่าย
ส่วนฝนภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นฝนเล็กน้อยถึงปานกลาง
คลื่นลมแรงขึ้น ต้องติดตามและเฝ้าระวังคลื่นลมแรง

              ช่วง 29 มกราคม –
6 กุมภาพันธ์ 2568 มวลอากาศเย็นยังแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน
แต่เริ่มอ่อนกำลังลง ทำให้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น
ลมเริ่มเปลี่ยนแปลงทิศทางโดยมีลมทิศใต้ และตะวันออกเฉียงใต้พัดแทรกบางเวลา
ฤดูหนาวยังไม่สิ้นสุด ช่วงที่ลมอ่อนลงต้องระวังการสะสมของฝุ่นละออง
ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกช่วง ฝนน้อย ออกกนอกบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัย 
(ข้อมูลนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามข้อมูลนำเข้าและประมวลผลใหม่
ใช้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจและติดตามสภาพอากาศ)

พยากรณ์อากาศ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก กรมอุตุนิยมวิทยา

              ขณะที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา
ล่าสุด (23 มกราคม 2568) รายงานพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้าว่า
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง
จึงทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย

              โดยภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง
รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน
จะมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด
และมีน้ำค้างแข็งบางแห่งบริเวณยอดดอย

              อย่างไรก็ตาม พบว่าในวันที่ 26 –
28 มกราคม 2568
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีน
จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้
ทำให้ประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นลงกับมีลมแรง
สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น
ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่างของภาค
ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น
โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร
ขณะที่บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจะมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

              ทั้งนี้
สภาวะอากาศที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละอองในระยะนี้
เนื่องจากการระบายของอากาศไม่ดี และมีลมอ่อน
ทำให้การสะสมของฝุ่นอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างมากถึงมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา, เฟซบุ๊ก Somkuan Tonjan

ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือ นายจ้างสุดทนขอเตือน เห็นหน้าจอถึงกับชะงักน้ำตาซึม

          ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือตอนทำงาน นายจ้างสุดทนขอเข้าไปเตือน จนได้เห็นหน้าจอ เป็นภาพที่ไม่เคยคิด ถึงกับชะงักน้ำตาซึม



ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือ นายจ้างสุดทนขอเตือน เห็นหน้าจอถึงกับชะงักน้ำตาซึม
ภาพจาก Threads @hwachun_garden

          เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 เว็บไซต์ Soha เผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวของนายจ้างรายหนึ่งในเกาหลีใต้ กลายเป็นประเด็นไวรัลบนโซเซียลมีเดีย ภายหลังจากเผยภาพของพนักงานลูกจ้างต่างชาติรายหนึ่ง กำลังยืนดูโทรศัพท์มือถืออย่างใจจดใจจ่อขณะที่กำลังทำงานล้างจาน ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจในตอนแรก คิดว่าพนักงานคนนี้ขาดวินัยในการทำงาน แต่ปรากฏว่าเมื่อได้เห็นหน้าจอโทรศัพท์ที่ลูกจ้างรายนี้ยืนดู เขาถึงกับต้องขอโทษในท้ายที่สุด

          โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านทางชุมชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา โดยนาย A (นามสมมุติ) นายจ้างชาวเกาหลีใต้ เขียนหัวข้อว่า “พนักงานกำลังดูโทรศัพท์มือถือขณะล้างจานในครัว” พร้อมทั้งเผยว่า ที่ร้านของเขามีลูกจ้างชาวเวียดนามหลายคน แต่จะมีอยู่คนหนึ่ง เอาแต่ดูโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาที่ล้างจาน จนกระทั่งเขารู้สึกทนไม่ไหว

ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือ นายจ้างสุดทนขอเตือน เห็นหน้าจอถึงกับชะงักน้ำตาซึม
ภาพจาก Threads @hwachun_garden

          “ฉันทนมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง และในที่สุดก็ถึงขีดจำกัด ฉันเลยพูดว่า นี่ คุณทำอะไรอยู่ ? ทำไมคุณถึงดูโทรศัพท์ตอนล้างจานอยู่ตลอดเวลา จานก็กองอยู่เต็มไปหมด”

          เจ้าของร้านถ่ายคลิปวิดีโอในขณะที่เขาเดินเข้าไปต่อว่าลูกจ้างหนุ่มด้วยความหงุดหงิด
ลูกจ้างหนุ่มรายนั้นตกใจมาก หันกลับมามองเจ้านาย
แต่สายตาของเขาก็ยังไม่วายสลับไปมองจอโทรศัพท์
กระทั่งทางเจ้าของร้านได้เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจอชัด ๆ
ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย

ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือ นายจ้างสุดทนขอเตือน เห็นหน้าจอถึงกับชะงักน้ำตาซึม
ภาพจาก Threads @hwachun_garden

          ความจริงก็คือ
ลูกจ้างหนุ่มรายนี้ไม่ได้ดูความบันเทิงเพื่อความเพลิดเพลินแต่อย่างใด
แต่เป็นภาพ CCTV จากกล้องวงจรปิดที่เขาติดเอาไว้ที่บ้านในประเทศเวียดนาม
โดยลูกจ้างรายนี้ได้อธิบายถึงเหตุผลที่เขาต้องเปิดดูมันบ่อย ๆ กล่าวว่า “งานล้างจานมันหนักมาก แต่ผมรู้สึกมีพลังเมื่อคิดถึงครอบครัวที่เวียดนาม”

          ในขณะนั้นเอง
จอโทรศัพท์ของลูกจ้างหนุ่มรายนี้ได้แสดงให้เห็นภาพครอบครัวหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
ชวนให้เจ้าของร้านรู้สึกสะเทือนใจ
เมื่อได้รู้ว่าลูกจ้างหนุ่มรายนี้จำเป็นต้องจากครอบครัวมาทำงานไกลบ้านถึงต่างแดนในเกาหลีใต้เพื่อหาเงินส่งกลับไปให้ที่บ้าน 

ลูกจ้างล้างจานเอาแต่ดูมือถือ นายจ้างสุดทนขอเตือน เห็นหน้าจอถึงกับชะงักน้ำตาซึม
ภาพจาก Threads @hwachun_garden

          “ตอนนั้นฉันพูดไม่ออก ฉันรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นเหตุผลที่เขาทำงานนัก ฉันมีครอบครัว และเขาก็มีครอบครอบครัวเช่นเดียวกัน” นาย A  กล่าว

         
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่สนใจ
ชาวเน็ตต่างพากันเข้าไปแสดงความเห็นถกเถียง ส่วนหนึ่งรู้สึกเห็นใจและเข้าใจ
กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งทำงานหนัก และต้องดูแลครอบครัวไปด้วย
แถมยังอยู่ไกลกันมาก ได้แค่มองผ่าน CCTV”
แต่บางส่วนก็มองว่า “ทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ต้องแยกแยะระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ในเวลางานควรทำงานไปก่อน
แล้วช่วงพักค่อยวิดีโอคอลคุยกับครอบครัว”
 
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha, Insight